if your requests for warrior cats are still open, can you do Runningnose
Growing up I knew a cat with a runny nose and gunky eyes who lived on my street, and I always thought RunningNose looked like him < 3
I had a slight cold and i now feeling Runningnose
if your requests are open, can you draw runningnose
slimy boy.
omg my first ever ask/request! thank you so much !!
if your requests are open, can you draw runningnose
I got you <3
reblog with your arospec warrior cats headcanons!
if your requests are open, can you draw runningnose
For the good of the Runningnose fans!
I like to give him and Tangleburr a couple stripes to signify Lizardstripe. Crazy how none of her kits actually got her tabby stripes!
เฌอรีเป็นหวัด ไอ จาม เจ็บคอ และมีน้ำมูกมาหลายวัน หลังจากได้เจอซิลวาเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคมที่ผ่านมา เลยสงสัยว่าจริง ๆ แล้ว น้ำมูกนี่มันถูกสร้างมาเพื่อลดอาการระคายเคือง ของโพรงจมูก แล้วไหลลงหลอดลม หรือคอ เพื่อลดอาการระคายเคืองที่ช่องคอ ใช่หรือไม่? เลยค้นหาข้อมูลเท่าที่หาได้มาเขียนบันทึกไว้ดีกว่า
สาเหตุหลักของการเกิดน้ำมูก คือ จมูกมีการสร้างสารคัดหลั่งขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้ แล้วไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิชนิด IgE ภูมินี้จะไปกระตุ้น Mast cell (เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิด เช่น histamin, prostaglandin สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน หรือภาษาง่าย ๆ คือ การต่อสู้กันระหว่างภูมิต้านทานของเรากับเชื้อหวัดนั่นเอง
อาการน้ำมูลไหล เป็นอาการที่มีของเหลว (หรือน้ำมูก) ที่ถูกสร้างขึ้นจากเนื้อเยื่อ และเส้นเลือดในโพรงจมูกส่วนเกินจำนวนมากไหลออกมาจากโพรงจมูก น้ำมูกที่ไหลออกอาจเป็นได้ทั้งของเหลวใสหรือขุ่นเหนียว อาการน้ำมูกไหลเกิดขึ้นจากการระคายเคือง หรือจากการอักเสบของเนื้อเยื่อในจมูก อาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายติดเชื้อ เช่น โรคหวัดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย หรือไม่ได้ติดเชื้อแต่ได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็ทำให้เกิดน้ำมูกไหลได้เช่นเดียวกัน
น้ำมูกไหลจากการเกิดไข้หวัด
น้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัดธรรมดาเป็น อาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสชนิดหลักที่ก่อให้เกิดโรคคือไรโนไวรัส (rhinovirus) ประมาณร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ รองลงมาคือ โคโรนาไวรัส (coronavirus) ที่ประมาณร้อยละ ๑๐ ถึง ๑๕ อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นด้วย คือ อาการไอ คัดจมูก เจ็บคอ หรือมีไข้ ซึ่งปกติแล้วสามารถหายเป็นปกติได้เองภายใน ๗ ถึง ๑๐ วัน ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากว่า น้ำมูกข้นสีเหลืองเขียวเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งความจริงแล้วสีของน้ำมูก และเสมหะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าร่างกายติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การสังเกตสีของเสมหะจะมีประโยชน์เฉพาะกรณีที่เสมหะเป็นเลือดเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์
ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัด
ยาแก้แพ้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ยาแก้แพ้รุ่นแรก (first-generation antihistamine) อธิบายสั้น ๆ ได้ว่าเป็นยาแก้แพ้กลุ่มที่ทำให้ง่วง และกลุ่มที่สองคือ ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง (second generation) หรือยาแก้แพ้กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง
ยาแก้แพ้รุ่นแรก (first-generation antihistamine) เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการน้ำมูกไหลเนื่องจากหวัด มีกลไก คือ ยับยั้งการทำงานของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารที่หลั่งขึ้นจากการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยาแก้แพ้รุ่นแรกสามารถซึมผ่านเข้าสู่สมองไปออกฤทธิ์กดระบบประสาทได้ ผลคือทำให้พบอาการง่วงซึมได้เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ นอกจากนี้แล้วยาแก้แพ้รุ่นแรกยังมีกลไกยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ทำให้เกิดผลข้างเคียงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ อาการแห้ง (ซึ่งกลไกนี้เองที่ให้น้ำมูกแห้ง) ได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง น้ำมูกข้น และอาการข้างเคียงอื่น ได้แก่ ตาพร่า ปัสสาวะคั่ง แรงดันในลูกตาเพิ่ม ใจสั่น ยากลุ่มนี้มีข้อควรระวัง คือ ไม่ใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ โรคหัวใจ ต้อหิน ต่อมลูกหมากโต เนื่องจากผลข้างเคียงอาจทำให้อาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้วรุนแรงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ ได้แก่ คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) ขนาดรับประทาน คือ ๔ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง ไม่รับประทานเกิน ๒๔ มิลลิกรัมต่อวัน บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) ขนาดรับประทานเช่นเดียวกันกับคลอเฟนิรามีน คือ ๔ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ขนาดรับประทาน คือ ๒๕ ถึง ๕๐ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง และไม่เกิน ๑๕๐ มิลลิกรัมใน ๑ วัน ยาไดเฟนไฮดรามีนยังมีข้อบ่งใช้อื่น คือ บรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ (motion sickness) นอกจากนี้มีการรายงานการศึกษาว่าการรักษาน้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัดด้วยการใช้ยานั้น ยาแก้แพ้รุ่นแรกให้ประสิทธิภาพดีกว่ายาแก้แพ้รุ่นที่สอง
น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้
น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (allergen) เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น เมื่อร่างกายสัมผัสสารเหล่านี้จะตอบสนองโดยการหลั่งฮีสตามีน (histamine) อาการน้ำมูกไหลที่เกิดขึ้นมักเป็นน้ำมูกใส และมีอาการอื่นที่เด่นชัดว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ร่วมด้วย เช่น การมีผื่น หรือรู้สึกคัน
ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้
ยาแก้แพ้ที่ใช้กับอาการนี้ แนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง หรือยาแก้กลุ่มที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง กลไกในการออกฤทธิ์ของยาเป็นแบบเดียวกันกับยาแก้แพ้รุ่นแรก คือ ยับยั้งการหลั่งฮีสตามีนซึ่งเป็นต้นเหตุโดยตรงของอาการแพ้ แต่ยากลุ่มนี้จะไม่ซึมผ่านเข้าสู่สมอง ทำให้ไม่พบผลข้างเคียง คืออาการง่วงซึม หรืออาจพบได้น้อยมากในยาบางตัว นอกจากนี้ยายังไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ปัสสาวะคั่ง แรงดันในลูกตาเพิ่ม ใจสั่น อย่างในยารุ่นแรกด้วย
ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ เซเทอริซีน (cetirizine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๐ มิลลิกรัม วันละหนึ่งครั้ง หรือแบ่งรับประทาน ๕ มิลลิกรัม วันละสองครั้ง ลอราทาดีน (loratadine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๐ มิลลิกรัมวันละหนึ่งครั้ง เฟกโซเฟนาดีน (fexofenadine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๒๐ มิลลิกรัม วันละหนึ่งครึ่ง จะเห็นได้ว่ายากลุ่มนี้มีความถี่ในการรับประทานต่ำกว่ายารุ่นแรก คือ รับประทานเพียงวันละหนึ่งครั้ง เนื่องจากตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า ยาเลโวเซเทอริซีน (levocetirizine) คือ ยาที่เป็นโครงสร้างออกฤทธิ์ของเซเทอริซีน เช่นเดียวกันกับยา เดสรอลาทาดีน (desloratadine) ที่เป็นโครงสร้างที่ออกฤทธิ์ของยา ลอราทาดีน ซึ่งอาจพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งอาการหวัดที่เกิดจากภูมิแพ้นั้นนอกจากการใช้ยารักษาแล้ว ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงหรือกำจัดสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ การใช้หน้ากากอนามัยในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการสัมผัสกับสารก่อแพ้ในอากาศ
ดังนั้น แล้วการเลือกใช้ยาสำหรับลดน้ำมูกจึงได้สังเกตถึงต้นตอของน้ำมูกว่าเกิดจากอะไร การใช้ยากลุ่มหนึ่งกับอีกโรคหนึ่งอาจไม่เกิดประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังอาจเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยาอีกด้วย การเลือกใช้ยาแก้แพ้จึงไม่ใช่การเลือกเพียงผลข้างเคียงเฉพาะอาการง่วงซึมหรือไม่ง่วงซึมเท่านั้น
*ข้อมูลจากเว็บไซต์ HohestDocs